วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นิยามของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ


ปัจจุบันโลกได้วิวัฒนาการเข้าสู่ “ยุคสารสนเทศ” (Information age) อย่างเต็มตัว การเพิ่มจำนวนของข้อมูลข่าวสารจนเกิดภาวะ “Information explosion” ทำให้มนุษย์ต้องหันมาพึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมาก ดังนั้นเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น ผู้อ่านควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “ข้อมูล” (Data) และ “สารสนเทศ” (Information) รวมถึงความแตกต่างของคำทั้งสองคำดังนี้
ข้อมูล (Data) คือ ข้อความที่อาจจะเป็นตัวเลขหรือข้อความที่ทำให้ผู้อ่านทราบความเป็นไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ข้อมูลนักศึกษาในคณะต่างๆของสถาบันราชภัฎสวนดุสิตที่เข้าศึกษาในสถาบันแห่งนี้ หรือข้อมูลนักท่องเที่ยวในเมืองไทย ดังนั้น ข้อมูล (Data) จึงบอกเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งปรากฏขึ้น และข้อมูลจะคงสภาพความเป็นข้อมูลนั้นไม่ว่าจะนำไปใช้หรือไม่ได้ใช้ก็ตาม
สารสนเทศ (Information) คือ ข้อความรู้ที่ได้จากการประมวลจากข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น จนได้เป็นข้อความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ สรุปได้ว่า ความแตกต่างระหว่าง “ข้อมูล” (Data) และ “สารสนเทศ” (Information) นั้น “ข้อมูล” จะคงสภาพความเป็นอยู่เสมอ ส่วน “สารสนเทศ” เป็นข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ออกมาเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้นั้นๆ
“ข้อมูล” และ “สารสนเทศ” นับว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะ “สารสนเทศ”นั้น สามารถนำไปใช้ในการบริหารงานด้านต่างๆ มากมาย เช่น
1. ด้านการวางแผน การนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผน เช่น การนำไปใช้เกี่ยวกับการจัดองค์การ บริหารงานบุคคล การผลิตสินค้า การตลาด การวางแผนค่าใช้จ่าย เป็นต้น
2. ด้านการตัดสินใจ การนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจทั้งนี้เพื่อเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา สารสนเทศที่ดีจะมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยสนับสนุนในการตัดสินใจของผู้บริหาร ช่วยให้การตัดสินใจเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพ เช่น การตัดสินใจที่รับบุคลากร
3. ด้านการดำเนินงาน การนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงาน จะช่วยผู้บริหารในการควบคุม และติดตามผลทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามกฎระเบียบ วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การ
จากรายละเอียดข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันอย่างชัดเจนระหว่าง “สารสนเทศ” กับ “สังคมมนุษย์”

แบบประเมินที่ใช้ในงานวิจัย

แบบประเมินการวิจัย(รายบุคคล)
ประจำปีการศึกษา ………………..ตรวจครั้งที่ ……………………...วันที่…………………………………
ชื่อผู้วิจัย………..…ประจำหมวด………..…ชื่อเรื่อง………………..……………………………….………………………………………………………………………………………………………….…………….
หัวข้อ-เนื้อหา
เกณฑ์การประเมิน
หมายเหตุ
ชัดเจนดีมาก
(5)
ชัดเจนดี
(4)
ปานกลาง
พอใช้ได้(3)
แกัไข-ปรับปรุงบางส่วน (2)
แก้ไขปรับปรุงทั้งหมด
(1)
บทที่ 1
1.ความสำคัญของปัญหาควรเขียนให้ชัดเจน/ได้ใจความ/ครอบคลุมประเด็นเนื้อหาและตรงตามชื่อเรื่อง
2.วัตถุประสงค์ เขียนกระชับได้ใจความและมองเห็นชัดเจน
3.สมมติฐานการวิจัย เขียนได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
4.ขอบเขต /ข้อตกลงเบื้องต้น หรือคำจำกัดความ เขียนอธิบายได้ตรงตามหัวข้อที่ทำการวิจัย
5.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เขียนได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์

บทที่2
1.เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่นการอ้างอิงทฤษฎีต่าง ๆ ตรงตามชื่อเรื่องที่ทำวิจัย (ไม่มีก็ได้)
2.งานวิจัยที่นำมาอ้างอิง เนื้อต้องให้ตรงกับหัวข้อที่ทำวิจัย (ใช้อ้างอิง 3 เล่ม)

บทที่ 3
วิธีการดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษา ชัดเจนและเหมาะสม
เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ต้องชัดเจน เช่นจะใช้แบบสอบถาม /ประเมิน แบบจดบันทึกการสังเกตุ ฯลฯ
วิธีการดำเนินการเก็บข้อมูล ต้องมีขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ชัดเจน โดยเขียนอธิบายถึงวิธีการทำด้วย เช่นการแบ่งกลุ่ม มีกี่กลุ่มๆ ละ กี่คน เป็นต้น
สถิติที่ใช้ในการทำวิจัย ให้ระบุว่าใช้สถิติอะไรในการอภิปรายผล
แนบเอกสารการสอนเฉพาะหน่วยที่ใช้ในการทำวิจัยเท่านั้น
เทคนิคและวิธีการที่ใช้วิจัย

บทที่ 4
ผลการวิจัย(การอภิปรายผลจากตาราง ต้องมีความละเอียดชัดเจน และอธิบายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้)
การอภิปรายผล ชัดเจน และเข้าใจ

บทที่ 5
สรุปและเสนอแนะ (สรุปผลของการวิจัยทั้งหมด พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ในการทำวิจัยครั้งต่อไป)
อื่น ๆ
1. บทคัดย่อ ต้องเขียนโดยสรุปจากผลของการวิจัย ให้ได้ใจความชัดเจน
2. คำนำ
3. สารบัญ
4. บรรณานุกรม (ต้องมีรายชื่อหนังสืออ้างอิงในการทำวิจัย)
5. ภาคผนวก(การนำเอาเอกสารที่ใช้ประกอบการวิจัยแนบด้วย เช่น แบบสอบถาม/แบบประเมินต่างๆ/ ข้อมูลprintout เป็นต้น

ข้อคิดเห็นอื่น ๆ………………………………………………………………………………………………


งานวิจัยและพัฒนา/อ.ธนัฐดา (พย.49)

เทคนิคในการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพด้วย powerpoint ฉบับภาษาอังกฤษ

Starting Microsoft PowerPoint
Two Ways
1.Double click on the Microsoft PowerPoint icon on the desktop. ดับเบิลคลิกในโปรแกรม Microsoft PowerPoint

ที่ไอคอนบนเดสก์ท็อป.
2.Click on Start --> Programs --> Microsoft PowerPoint
คลิกที่เริ่มต้น -> โปรแกรม -> ของ Microsoft PowerPoint ที่
Creating & Opening a Presentation After you open up Microsoft PowerPoint, a screen pops up asking if you would like to create a New Presentation or Open An Existing Presentation.
สร้างและเปิดงานนำเสนอ หลังจากที่คุณเปิดโปรแกรม Microsoft PowerPoint ที่มีจอ pops ขอขึ้นหากคุณต้องการสร้างงานนำเสนอใหม่หรือเปิดงานนำเสนอที่มีอยู่.
AutoContent Wizard
Creates a new presentation by prompting you for information about content, purpose, style, handouts, and output. The new presentation contains sample text that you can replace with your own information. Simply follow the directions and prompts that are given by Microsoft P AutoContent

วิซาร์ด
o การสร้างงานนำเสนอใหม่โดยแจ้งคุณสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาวัตถุประสงค์สไตล์ handouts และเอาต์พุต. ที่มีงานนำเสนอใหม่ตัวอย่างข้อความที่คุณสามารถแทนที่กับข้อมูลของคุณเอง. เพียงทำตามคำแนะนำและแจ้งให้ที่มีให้โดย Microsoft PowerPoint ที่ owerPoint.
Design Template
Creates a new presentation based on one of the PowerPoint design templates supplied by Microsoft. Use what is already supplied by Microsoft PowerPoint and change the information to your own.
ออกแบบเทมเพลท o การสร้างงานนำเสนอใหม่ตามหนึ่งใน PowerPoint ที่ออกแบบแม่แบบที่จัดโดย Microsoft. ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วจัดหาโดย Microsoft PowerPoint และเปลี่ยนข้อมูลของคุณเอง.
Blank Presentation
Creates a new, blank presentation using the default settings for text and colors. Go to next step:
Creating A Blank Presentation
การนำเสนอที่ว่างเปล่า o การสร้างใหม่ที่ว่างเสนอการใช้การตั้งค่าเริ่มต้นสำหรับข้อความและสี. ไปที่ขั้นตอนถัดไป: การสร้างงานนำเสนอที่ว่างเปล่า
Opening An Existing Presentation
1. Select Open An Existing Presentation from the picture above
2. Click on your presentation in the white box below step 1
o If you do not see your presentation in the white box, select More Files and hit OK.
o Locate you existing Presentation and hit the Open button

เปิดงานนำเสนอที่มีอยู่ 1. เลือกเปิดงานนำเสนอที่มีอยู่จากภาพด้านบน 2. คลิกที่คุณสามารถนำเสนอในช่องสีขาวด้านล่างขั้นตอนที่ 1 หรือหากคุณไม่เห็นงานนำเสนอของคุณในช่องสีขาวเลือกเพิ่มเติมแฟ้มและกดตกลง. o การค้นหาเดิมที่คุณนำเสนอและกดปุ่มปุ่มเปิด
Create a Blank Presentation After you select Blank Presentation a window pops up asking you to select the layout of the first slide.
สร้างงานนำเสนอที่ว่างเปล่า หลังจากคุณเลือกการนำเสนอว่างหน้าต่าง pops ขึ้นขอให้ท่านเลือกเลย์เอาต์ของสไลด์แรก.

Pre-Designed Slide Layouts (Left to Right)
Title Slide
Bulleted List
Two Column Text
Table
Text & Chart
Chart & Text
Organizational Chart
Chart
Text & Clip Art
Clip Art & Text
Title Only
Blank Slide

พื้นฐาน-ออกแบบสไลด์เลย์เอาต์ (ซ้ายไปขวา)
• ชื่อภาพนิ่ง
• รายการลำดับหัวข้อย่อย
• สองคอลัมน์ข้อความ
• ตาราง
• ข้อความ & ชาติ
• ชาติ & ข้อความ
• องค์การชาติ
• ชาติ
• ข้อความและภาพตัดปะ
• คลิปศิลปะ & ข้อความ
• ชื่อเรื่องเท่านั้น
• สไลด์ว่าง
NOTE:If you already know what you want in your next slide, it is a very good idea to choose one of the pre-designed layouts from above. However if you do not, then you can still insert what you want in throughout your Presentation anytime you desire. Just choose Blank Slide and insert items as you see fit.
หมายเหตุ: หากคุณได้ทราบสิ่งที่คุณต้องการในครั้งถัดไปของคุณสไลด์มันเป็นความคิดที่ดีที่จะเลือกหนึ่งในเลย์เอาต์ก่อนที่ออกแบบมาจากข้างบน. แต่ถ้าคุณไม่ได้แล้วคุณยังสามารถใส่สิ่งที่คุณต้องการทั้งในการนำเสนอของคุณได้ตลอดเวลาที่คุณปรารถนา. เพียงเลือกที่ว่างเปล่าสไลด์และแทรกรายการตามที่คุณเห็นพอดี.
Different Views That PowerPoint Demonstrates There are different views within Microsoft PowerPoint that allow you to look at your presentation from different perspectives.
มุมมองที่แตกต่างกันนั่น PowerPoint ที่แสดง มีมุมมองที่แตกต่างกันภายในของ Microsoft PowerPoint ที่ที่ช่วยให้คุณสามารถดูงานนำเสนอของคุณจากมุมมองที่แตกต่างกัน.
Normal View
Outline View
Slide View
Slide Sorter View
Slide Show View
Switches to normal view, where you can work on one slide at a time or organize the structure of all the slides in your presentation

สลับเพื่อดูปกติแล้วซึ่งคุณสามารถทำงานในหนึ่งสไลด์ที่เวลาหรือจัดโครงสร้างของสไลด์ในงานนำเสนอของคุณ

Switches to outline view, where you can work with the structure of your file in outline form. Work in outline view when you need to organize the structure of your file.
สลับเพื่อดูเค้าโครงที่คุณสามารถทำงานกับโครงสร้างของไฟล์เลาๆฟอร์ม. ทำงานเลาๆดูเมื่อคุณต้องการจัดระเบียบโครงสร้างของแฟ้ม.
Switches to slide view, where you can work on one slide at a time
สลับเพื่อดูเค้าโครงที่คุณสามารถทำงานกับโครงสร้างของไฟล์เลาๆฟอร์ม. ทำงานเลาๆดูเมื่อคุณต้องการจัดระเบียบโครงสร้างของแฟ้ม.
Displays miniature versions of all slides in a presentation, complete with text and graphics. In slide sorter view, you can reorder slides, add transitions, and animation effects. You can also set the timings for electronic slide shows.
เล็กกระจิดริดแสดงเวอร์ชันทั้งหมดสไลด์ในงานนำเสนอสมบูรณ์กับข้อความและกราฟิก. ในสไลด์ sorter ดูคุณสามารถเปลี่ยนลำดับสไลด์เพิ่มเปลี่ยน, และที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว. นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้ง timings สำหรับอิเล็กทรอนิกส์สไลด์
Runs your slide show in a full screen, beginning with the current slide if you are in slide view or the selected slide if you are in slide sorter view. If you simply want to view your show from the first slide:
1. Click Slide Show at the top of the screen
2. Select View Show

เล็กกระจิดริดแสดงเวอร์ชันทั้งหมดสไลด์ในงานนำเสนอสมบูรณ์กับข้อความและกราฟิก. ในสไลด์ sorter ดูคุณสามารถเปลี่ยนลำดับสไลด์เพิ่มเปลี่ยน, และที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว. นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้ง timings สำหรับอิเล็กทรอนิกส์สไลด์
Slide Manipulation
Inserting A New Slide
1. Click Insert at top of screen
2. Select New Slide
. สไลด์ยักย้าย • แทรกสไลด์ใหม่ 1. คลิกแทรกที่ด้านบนสุดของหน้าจอ 2. เลือกสไลด์ใหม่
Formatting A Slide Background
You can format your slide to make it look however you would like, whether it be a background color, picture, or a design template built into Microsoft PowerPoint. The next step will show you how to apply a Design Template, but the other items mentioned above can be accomplished the same way.
1. Click Format at the top of the screen
2. Select Apply Design Template
3. Select Design you wish to apply
4. Click Apply Button
• มีการจัดรูปแบบสไลด์พื้นหลัง หรือคุณสามารถจัดรูปแบบของภาพนิ่งเพื่อให้ดูอย่างไรก็ตามคุณต้องการไม่ว่าจะเป็นสีพื้นหลัง, รูปภาพหรือออกแบบแม่แบบที่สร้างลงใน Microsoft PowerPoint ที่. ขั้นตอนถัดไปจะแสดงวิธีการใช้ออกแบบเทมเพลทแต่รายการอื่นๆที่กล่าวสามารถบรรลุเดียวกันทาง.
1. คลิกรูปแบบที่ด้านบนของหน้าจอ
2. เลือกสมัครออกแบบเทมเพลท
3. เลือกออกแบบที่คุณต้องการใช้
4. คลิก Apply ปุ่ม
Inserting Clipart & Pictures
0. Display the slide you want to add a picture to.
1. Click Insert at the top of the screen
2. Select Picture
3. Select Clip Art
4. Click the category you want
5. Click the picture you want
6. Click Insert Clip on the shortcut menu
7. When you are finished using the Clip Gallery, click the Close button on the Clip Gallery title bar
8. Steps 1-4 are very similar when inserting other Pictures, Objects, Movies, Sounds, and Charts
Clipart แทรกรูปภาพ &
0. แสดงสไลด์ที่คุณต้องการเพิ่มรูปภาพไปยัง.
1. คลิกแทรกที่ด้านบนของหน้าจอ
2. เลือกรูปภาพ
3. เลือกภาพตัดปะ
4. คลิกที่หมวดหมู่ที่คุณต้องการ
5. คลิกที่ภาพที่คุณต้องการ
6. คลิกแทรกคลิปบนเมนูทางลัด
7. เมื่อคุณเสร็จสิ้นการใช้คลิปคลังภาพคลิกปุ่มปิดคลิปในคลังภาพแถบชื่อ
8. ขั้นตอนที่ 1-4 เป็นคล้ายคลึงเมื่อแทรกรูปภาพอื่นๆ, ออบเจกต์, หนัง, เสียงและแผนภูมิ
Adding Transitions to a Slide Show You can add customized transitions to your slide show that will make it come alive and become appealing to your audience. Follow these steps when adding Slide Transitions.
1. In slide or slide sorter view, select the slide or slides you want to add a transition to.
2. On the Slide Show menu at the top of the screen, click Slide Transition
3. In the Effect box, click the transition you want, and then select any other options you want
4. To apply the transition to the selected slide, click Apply.
5. To apply the transition to all the slides, click Apply to All.
6. Repeat the process for each slide you want to add a transition to.
7. To view the transitions, on the Slide Show menu, click Animation Preview.

เพิ่มยสภาพไปยังแสดงภาพนิ่ง คุณสามารถเพิ่มการเปลี่ยนที่กำหนดเองของคุณแสดงสไลด์ที่จะทำให้ชีวิตมาและเป็นผู้ชมของคุณ appealing. ปฏิบัติตามขั้นตอนนี้เมื่อเพิ่มสไลด์ยสภาพ. 1. ในสไลด์หรือสไลด์ sorter ดูให้เลือกภาพนิ่งหรือสไลด์ที่คุณต้องการเพิ่มการเปลี่ยนแปลงไปยัง. 2. ในเมนูการนำเสนอภาพนิ่งที่ด้านบนของจอให้คลิกสไลด์เปลี่ยนแปลง 3. ในผลให้คลิกการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการแล้วเลือกตัวเลือกอื่นๆที่คุณต้องการ 4. การใช้การเปลี่ยนแปลงที่เลือกสไลด์คลิก Apply. 5. การใช้การเปลี่ยนแปลงกับสไลด์ทั้งหมดให้คลิกนำไปใช้กับทุก. 6. ทำซ้ำตามขั้นตอนสำหรับแต่ละสไลด์ที่คุณต้องการเพิ่มการเปลี่ยนแปลงไปยัง. 7. ในการดูการเปลี่ยนในการนำเสนอภาพนิ่งเมนูคลิกแสดงตัวอย่างภาพเคลื่อนไหว.
Viewing The Slide Show You can view your slide show by any of the following ways:
1. Click Slide Show at the lower left of the PowerPoint window.
2. On the Slide Show menu, click View Show.
3. On the View menu, click Slide Show.
4. Press F5 on the keyboard


ดูการนำเสนอภาพนิ่ง คุณสามารถดูการนำเสนอภาพนิ่งโดยใดๆต่อไปนี้วิธี:
1. คลิกแสดงสไลด์ที่ต่ำซ้ายของ PowerPoint ที่หน้าต่าง.
2. ในการนำเสนอภาพนิ่งเมนูคลิกดูแสดง.
3. บนเมนูมุมมองคลิกสไลด์แสดง.
4. กด F5 ที่แป้นพิมพ์

Navigating While In Your Slide Show
Forward Navigation
Simply click on the left Mouse Button or hit the Enter Button on your keyboard
Reverse Navigation
Hit the Backspace on the keyboard
Exiting the show
Hit the Esc Button on the keyboard
การนำทางในขณะที่ของคุณแสดงสไลด์
• ส่งการนาวิเกต หรือเพียงคลิกที่ด้านซ้ายของปุ่มเมาส์หรือกดปุ่มป้อนปุ่มบนคีย์บอร์ดของคุณ
• กลับการนาวิเกต หรือกดปุ่ม Backspace บนแป้นพิมพ์
• Exiting ที่แสดง หรือกดปุ่มปุ่มปุ่ม ESC บนแป้นพิมพ์Pack up a presentation for use on another computer
1. Open the Presentation you want to pack
2. On the File menu, click Pack and Go
3. Follow the instructions in the Pack and Go Wizard.
แพคขึ้นนำเสนอสำหรับการใช้ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น
1. เปิดงานนำเสนอที่คุณต้องการแพ็ค
2. ในเมนู File ให้คลิกแพคและไป
3. ทำตามคำแนะนำในวิซาร์ดไปแพคและ.
Unpack a presentation to run on another computer
1. Insert the disk or connect to the network location you packed the presentation to
2. In My Computer, go to the location of the packed presentation, and then double-click Pngsetup
3. Enter the destination you want to copy the presentation to
แกะที่นำเสนอให้รันในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น
1. ใส่ดิสก์หรือเชื่อมต่อไปยังตำแหน่งเครือข่ายที่คุณบรรจุเพื่องานนำเสนอ
2. ในคอมพิวเตอร์ของฉันให้ไปที่ตำแหน่งของบรรจุการนำเสนอและจากนั้นดับเบิลคลิก Pngsetup
3. ป้อนปลายทางที่คุณต้องการคัดลอกไปยังงานนำเสนอ

การใช้งาน google


หลักพื้นฐานในการค้นหาข้อมูลด้วย Google การค้นหาข้อมูลด้วย Google นั้นทำได้ไม่ยาก เพียงแค่พิมพ์หัวข้อค้นหา (ซึ่งเป็นคำหรือวลีที่อธิบายข้อมูลที่คุณต้องการค้นหาได้ดีที่สุด) ในกล่องข้อความ จากนั้นกดปุ่ม ‘Enter’ หรือคลิกที่ปุ่ม ‘Google Search’
จากนั้น Google ก็จะคืนผลลัพธ์ เป็นรายการของหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหัวข้อค้นหาของคุณ โดยหน้าเว็บที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏออกมาเป็นลำดับแรก
เคล็ดลับขั้นต้นที่จะช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้แก่
 การเลือกหัวข้อค้นหา
 การใช้ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่
 การค้นข้อมูลอัตโนมัติด้วยฟังก์ชัน "and"
 การละคำทั่วไป
 การค้นหาคำใกล้เคียง
 การค้นหาทั้งวลี
 หัวข้อค้นหาที่ไม่ต้องการ
 ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย
การเลือกหัวข้อค้นหา
การเลือกหัวข้อค้นหาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณค้นพบข้อมูลที่ต้องการ
เริ่มต้นด้วยตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าคุณอยากทราบข้อมูลทั่วไปของรัฐฮาวาย ลองใช้หัวข้อค้นหา Hawaii
แต่ตามปกติแล้วการใช้หัวข้อค้นหามากกว่าหนึ่งคำจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ถ้าคุณมีแผนอยากไปพักร้อนที่ฮาวาย หัวข้อค้นหาvacation Hawaii ย่อมให้ผลลัพธ์ดีกว่าการใช้หัวข้อค้นหาเพียง vacation หรือ Hawaii อย่างใดอย่างหนึ่ง และ vacation Hawaii golf อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีก(หรือแย่ลงก็ได้ อันนี้แล้วแต่)
คุณอาจจะลองถามตัวเองว่าหัวข้อค้นหาที่คุณใช้นั้น ชัดเจนเพียงพอหรือไม่ การค้นหาโดยใช้หัวข้อค้นหา luxury hotels Maui ย่อมดีกว่าหัวข้อ tropical island hotels แต่จงเลือกหัวข้อค้นหาอย่างระมัดระวัง เพราะ Google จะค้นหาโดยยึดสิ่งที่คุณพิมพ์เป็นหลัก ดังนั้นหัวข้อ luxury hotels Maui น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า really nice places to spend the night in Maui
การใช้ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่
การค้นหาโดยใช้ Google นั้นจะถือว่าตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่มีค่าเท่ากัน ดังนั้น การค้นหาโดยใช้หัวข้อค้นหา george washington, George Washington และ gEoRgE wAsHiNgToN จะให้ผลลัพธ์เหมือนกัน
การค้นข้อมูลอัตโนมัติด้วยฟังก์ชัน and ตามปกติแล้ว Google จะคืนผลลัพธ์เป็นหน้าเว็บที่มีหัวข้อค้นหาทุกคำเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องพิมพ์คำว่า “and” ระหว่างหัวข้อค้นหา อย่างไรก็ตาม ลำดับการพิมพ์หัวข้อค้นหามีผลต่อข้อมูลผลลัพธ์ ถ้าต้องการให้การค้นหาจำกัดแคบลงไปอีก ให้พิมพ์หัวข้อค้นหาเพิ่มลงไป เช่น หากต้องการหาที่พักร้อนในฮาวาย พิมพ์ vacation hawaii
การละคำทั่วไป
Google จะละคำทั่วไป เช่นคำว่า "where" และ "how" ออกจากการค้นหา เช่นเดียวกับตัวเลขตัวเดียวและตัวอักษรตัวเดียว เนื่องจากการใช้คำดังกล่าวด้วยอาจทำให้การค้นข้อมูลทำได้ช้าลง และไม่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น
ในกรณีที่ต้องการรวมคำดังกล่าวไว้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ คุณสามารถพิมพ์เครื่องหมาย + ไว้หน้าคำนั้น (อย่าลืมเว้นวรรคหน้าเครื่องหมาย +)
อีกวิธีหนึ่งคือทำการค้นหาแบบเป็นวลี โดยใส่เครื่องหมายคำพูด (“...”) ล้อมรอบหัวข้อค้นหาสองคำหรือมากกว่านั้น (เช่น "where are you")
การค้นหาคำใกล้เคียง
ในปัจจุบัน Google มีเทคโนโลยีการหารากศัพท์ โดย Google ไม่เพียงแต่ค้นหาหัวข้อที่คุณพิมพ์ลงไปเท่านั้น แต่ยังค้นหาคำใกล้เคียงกันอีกด้วย เช่นการค้นจากคำว่า pet lemur dietary needs จะทำให้ Google ค้นหาคำว่า pet lemur diet needs และอื่นๆ ที่คล้ายกันอีกด้วย
การค้นหาทั้งวลี
ในการค้นหาทั้งวลี คุณเพียงแต่ใส่เครื่องหมายคำพูด (“...”) ล้อมรอบวลีนั้น
การค้นหาด้วยวลีจะได้ผลมากกับชื่อเฉพาะ เช่น “George Washington”, เนื้อเพลง เช่น “the long and winding road” หรือคำคมเช่น “This was their finest hour”

หัวข้อค้นหาที่ไม่ต้องการ
ถ้าหัวข้อค้นหาของคุณมีหลายความหมาย (เช่น bass อาจมีความหมายเกี่ยวข้องกับปลาหรือดนตรีก็ได้) คุณสามารถระบุหัวข้อค้นหาโดยการพิมพ์เครื่องหมายลบ (-) หน้าความหมายที่ไม่ต้องการ (อย่าลืมใส่ช่องว่างหน้าเครื่องหมายลบ) เช่น ค้นหาหน้าเว็บที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี
และสุดท้าย "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย"

หลังจากกรอกหัวข้อค้นหาเรียบร้อยแล้ว คุณอาจลองใช้ปุ่ม "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย" (I’m Feeling Lucky) ซึ่งจะพาคุณไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อค้นหาที่ชัดเจนที่สุดทันทีโดยไม่แสดงหน้าจอผลลัพธ์
ตัวอย่าง ถ้าคุณต้องการค้นหาโฮมเพจของ Stanford University เพียงพิมพ์คำว่า Stanford จากนั้นคลิก "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย" Google จะพาคุณไปยังเว็บ "www.stanford.edu" ทันที

เทคนิคการสืบค้นข้อมูล



โดยทั่วไป การค้นหาสารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศหรือจากเครื่องมือค้นหา อาจจะมีความคล้ายหรือแตกต่างกันไป ผู้ใช้อาจจะต้องเสียเวลาทำความเข้าใจการใช้และเทคนิควิธีการค้นหา เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการให้มากที่สุด
เทคนิคการสืบค้นข้อมูล หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่ใช้ประกอบในการสร้างประโยคการค้นหา เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด เทคนิคในการค้นหานั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การค้นหาพื้นฐานหรืออย่างง่าย (Basic Search) และการค้นหาแบบซับซ้อนหรือขั้นสูง (Advanced Search)
ก่อนจะเริ่มต้นการค้นหา ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
1. ผู้ค้น จะต้องทราบว่าตนเอง ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด นอกจากนี้จะต้องมีข้อมูลส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการจะค้นหา (ลองสำรวจตัวเองก่อนสิคะว่า มีข้อมูลอะไรบ้างตอนนี้) ถ้ายังไม่มี คิดค่ะคิด...ใช้หมองหน่อย...ได้หรือยังคะ ได้แล้วจดไว้ค่ะ ....
หรือหากคิดไม่ออกจะช่วยคิดค่ะ ง่ายๆ เช่น รู้จักชื่อผู้แต่งมั๊ย รู้จักชื่อเรื่องที่เราต้องการค้นหาหรือไม่ ถ้าไม่รู้ให้กำหนดหัวเรื่องหรือคำสำคัญแทนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวจะพูดต่อไป....
2. รู้จักแหล่งสารสนเทศหรือเครื่องมือที่จะใช้ค้นหาหรือยังคะ เช่น ถ้าคุณต้องการค้นหารายการบรรณานุกรมงานวิจัยของห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ควรจะใช้ฐานข้อมูลใดค้นหา จึงจะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ เป็นต้น
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ผู้ค้นจะต้องรู้จักแหล่งสารสนเทศและฐานข้อมูลหรือเครื่องมือค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ต้องการ ซึ่งปัจจุบันนี้มีมากมายทั้งฟรีและบริการเชิงพาณิชย์ (มารู้จักฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และวิธีการค้นหาแบบง่ายๆ ได้ที่นี่)
3. ต้องรู้จักวิธีการใช้แหล่งสารสนเทศ ฐานข้อมูลหรือเครื่องมือที่ใช้ค้นหา เช่น รู้จักวิธีค้นหาแบบพื้นฐาน หรือหากจะให้ดีก็ควรรู้จักการค้นหาแบบขั้นสูงด้วย นอกจากนี้ยังต้องรู้จักวิธีการจัดการผลลัพธ์ ได้แก่ การบันทึก การสั่งพิมพ์ การส่งข้อมูลทาง E-mail การจัดการรายการบรรณานุกรม เป็นต้น
4. รู้จักกฏ กติกา มารยาทในการใช้แหล่งสารสนเทศ ฐานข้อมูลหรือเครื่องมือค้นหา เนื่องจากปัจจุบันได้มีการละเลิดลิขสิทธิ์กันมากขึ้น
เทคนิคการสืบค้นข้อมูล
1. การค้นหาแบบพื้นฐาน (Basic Search) เป็นการค้นหาสารสนเทศอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน โดยใช้คำโดดๆ หรือผสมเพียง 1 คำ ในการสืบค้นข้อมูล โดยส่วนใหญ่การค้นหาแบบง่ายจะมีทางเลือกในการค้นหา ได้แก่
1.1 ชื่อผู้แต่ง (Author) เป็นการค้นหาโดยใช้ชื่อของบุคคล กลุ่มบุคคล นามปากกา หรือชื่อหน่วยงาน/องค์กร ที่เป็นผู้แต่งหรือเขียนหนังสือ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือทรัพยากรสารสนเทศนั้นๆ ซึ่งมีหลักการค้นหาง่ายๆ ดังนี้
1.1.1 ผู้แต่งคนไทย เป็นการค้นหาชื่อบุคคล ตัวอย่างเช่น กุลธิดา ท้วมสุข ให้ตัดคำนำหน้าชื่อออก เช่น นาย นาง นางสาว หรือหากเป็นบุคคลที่มีบรรดาศักดิ์หรือฐานันดรศักดิ์ ให้ค้นด้วยชื่อ และต่อท้ายด้วยบรรดาศักดิ์หรือฐานันดรศักดิ์ หากเป็นการค้นหาชื่อที่เป็น นามปากกา ฉายาหรือสมณศักดิ์ ให้ค้นหาตามนามปากกา ฉายา หรือสมณศักดิ์
ยกตัวอย่างเช่น
- นางกุลธิดา ท้วมสุข ชื่อที่ใช้ค้น คือ กุลธิดา ท้วมสุข (ให้ตัดคำนำหน้าชื่อออก)
- ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท ชื่อที่ใช้ค้น คือ คึกฤทธิ์ ปราโมท, ม.ร.ว.
(ให้เอาบรรดาศักดิ์ หรือฐานันดรศักดิ์ มาต่อท้ายชื่อ)
- ร.ต.อ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ชื่อที่ใช้ค้น คือ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (ให้ตัดยศหรือตำแหน่งออก)
- พระยาอุปกิตติศิลปสาร ชื่อที่ใช้ค้น คือ พระยาอุปกิตติศิลปสาร
- ว.วชิรเมธี ชื่อที่ใช้ค้น คือ ว.วชิรเมธี
- พระครูวิมลคุณากร ชื่อที่ใช้ค้น คือ พระครูวิมลคุณากร
1.1.2 ผู้แต่งที่เป็นชาวต่างประเทศ ให้ค้นหาโดยใช้ ชื่อสกุล ตามด้วยชื่อกลางและชื่อต้น
ยกตัวอย่างเช่น
"Judith G. Voet" ชื่อที่ใช้ค้น คือ Voet, Judith G.
หรือ Voet, Judith
หรือ Voet
1.1.3 ผู้แต่งที่เป็นหน่วยงาน/องค์กร ให้ค้นหาตามชื่อหน่วยงานหรือชื่อองค์กรนั้น เช่น การค้นหาชื่อหน่วยงานที่มีทั้งหน่วยงานใหญ่และหน่วยงานย่อย ให้ค้นหาโดยใช้ชื่อหน่วยงานใหญ่ก่อน แล้วตามด้วยชื่อหน่วยงานย่อย หากเป็นชื่อย่อ เมื่อค้นหาให้ใช้ชื่อเต็ม
ยกตัวอย่างเช่น
-สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชื่อที่ใช้ค้น คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สำนักวิทยบริการ
- ททท. ชื่อที่ใช้ค้น คือ การท่องเที่ยวแห่ประเทศไทย
1.2 ชื่อเรื่อง (Title) เป็นการค้นหาข้อมูล ด้วยชื่อเรื่อง เช่น ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ ชื่อเรื่องสั้น นวนิยาย ชื่องานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ การค้นโดยใช้ชื่อเรื่องนี้ เป็นการค้นหาแบบเจาะจง ดังนั้นผู้ค้น ต้องรู้จักชื่อเรื่อง หลักการค้นหาด้วยชื่อเรื่องทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ใช้หลักการเดียวกัน คือ ค้นหาตามชื่อนั้นๆ ได้เลย โดยระบบจะทำการค้นหาจากชื่อเรื่อง เริ่มจากอักษรตัวแรกและตัวถัดไปตามลำดับ
ยกตัวอย่างเช่น
- เพลงรักในสายลมหนาว (ชอบดูมาก..ชึ้ง..แถมพระเอกหล๊อ..หล่อ)
- อินเทอร์เน็ตสำหรับผู้เริ่มต้น (เรื่องนี้ก็ชื่นชอบผู้แต่ง อ. ยืน ภู่วรวรรณ)
- Engineering Analysis (เรื่องนี้ไม่อ่าน เพราะเดี๋ยวเจ็บหัว)
1.3 หัวเรื่อง (Subject Heading) คือ คำหรือวลีที่กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้แทนเนื้อหาของหนังสือ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์หรือทรัพยากรสารสนเทศนั้นๆ
หัวเรื่องที่ใช้ในการค้นหานั้น มาจากที่ไหนใครเป็นผู้กำหนดขึ้น? โดยปกติแล้วคำหรือวลีที่กำหนดให้เป็นหัวเรื่อง จะนำมาจากคู่มือหัวเรื่องที่ใช้กันเป็นมาตรฐานในห้องสมุดหรือหน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ (โอย...เรื่องมันย๊าววว...ยาว...) ว่างๆ จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับหลักการให้หัวเรื่องต่อไป...เพื่อจะได้ค้นเก่งๆ
แต่ตอนนี้..เอาเป็นว่า ง่ายๆ สั้นๆ ให้นึกถึง หัวเรื่องใหญ่และเรื่องย่อยเอาไว้ เช่น หัวเรื่องที่ต้องการค้นหา คือ คณิตศาสตร์ นี่คือหัวเรื่องใหญ่ ภายใต้หัวเรื่องใหญ่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ จะมีเรื่องย่อยๆ ซ่อนอยู่เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร เป็นต้น
1.4 คำสำคัญ (Keywords) คือ การค้นหาด้วยคำหรือวลีที่กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้แทนเรื่องที่ต้องการค้นหา โดยทั่วไปคำสำคัญจะมีลักษณะที่สั้น กระทัดรัด ได้ใจความ มีความหมาย เป็นคำนามหรือเป็นศัพท์เฉพาะในแต่ละสาขาวิชา
จะกำหนดคำสำคัญอย่างไร? ง่ายๆ คือ กำหนดมาจากคำที่อยู่ในชื่อเรื่องและหัวเรื่องที่เราต้องการค้นหานั่นเอง
การค้นหาด้วยคำสำคัญนั้น ระบบจะทำการค้นหาคำที่ปรากฏอยู่ในชื่อเรื่อง ไม่ว่าจะอยู่ต้นเรื่อง กลางเรื่องหรือท้ายเรื่อง
ยกตัวอย่าง การกำหนดคำสำคัญเพื่อใช้ค้นหา เช่น
รายงานการวิจัย เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพและการเพิ่มผลผลิตข้าวหอมมะลิที่มีความสามารถในการทนแล้งโดยการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุวิศวกรรม
ผู้ค้น จะต้องดึงคำสำคัญที่อยู่ในชื่อเรื่องออกมา เพื่อใช้ค้นหา ซึ่งก็ไม่ยากหากดูข้อ 1.4 ประกอบ จากชื่อเรื่องดังกล่าว พบว่า มี Keyword หลักๆ อยู่ 3 คำ ด้วยกัน คือ ข้าวหอมมะลิ, เทคโนโลยีชีวภาพและพันธุวิศวกรรม นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ของการกำหนดคำสำหรับใช้ค้นหา
รู้จักการค้นหาแบบง่ายๆ กันแล้ว ลองมาดูการค้นหาแบบขั้นสูงกันบ้า
2. การค้นหาแบบขั้นสูง (Advanced Search) เป็นการค้นหาที่ซับซ้อนมากกว่าแบบพื้นฐาน ซึ่งมีเทคนิคหรือรูปแบบการค้นที่จะช่วยให้ผู้ค้นสามารถจำกัดขอบเขตการค้นหาหรือค้นแบบเจาะจงได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
2.1 การสืบค้นข้อมูล โดยใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic) หรือการค้นหาโดยใช้ Operator เป็นการค้นหา โดยใช้คำเชื่อม 3 ตัว คือ AND, OR, NOT ดังนี้
- AND ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลง เช่นต้องการค้นหาคำว่าสัมตำที่เป็นอาหาร มีรูปแบบการค้นดังนี้ คือ ส้มตำ AND อาหาร หมายถึง ต้องการค้นหาคำว่า ส้มตำ และคำว่า อาหาร
- OR ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น เช่น สัมตำไทย OR ส้มตำปูปลาร้า (โอย..น้ำยาย..ไหยยยย..แซ๊บ..แซบ..เด้อ) หมายถึง ต้องการค้นหาคำว่า สัมตำไทย และ ส้มตำปูปลาร้า หรือค้นหาคำใดคำหนึ่งก็ได้
- NOT ใช้เชื่อมคำค้น เพื่อจำกัดขอบเขตให้แคบลง เช่น ต้องการค้นหาคำว่า ส้มตำ AND อาหาร NOT เพลง หมายถึง ต้องการค้นหา คำว่า ส้มตำ ที่เป็นอาหาร ไม่เอาส้มตำที่เป็นเพลง เป็นต้น
2.2 เทคนิคการตัดคำ (Truncation)
2.3 เทคนิคการจำกัดคำค้น (Limit Search) หรือการใช้

บอกความหมายของ search engine





ความหมายของ Search Engine คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดย กรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีเวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลที่เราโดนใจที่สุดเอามาใช้ งาน โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา มี3ประเภท (ในวันที่ทำการศึกษาข้อมูลนี้และได้ทำการรวบรวมข้อมูล ผมสรุปได้?3 ประเภทหลัก) โดยมีหลักการทำงานที่ต่างกัน และ การจัดอันดับการค้นหาข้อมูลก็ต่างกันด้วยครับ เพราะมีลักษณะการทำงานที่ต่างกันนี่เองทำให้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีการแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ประเภทด้วยกัน แต่ที่พอสรุปได้ก็มีเพียง?3 ประเภทหลัก ๆ ดังที่จะนำเสนอต่อไปนี้ครับ
ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines
Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน
โดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้ เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบ ของการทำสำเนาข้อมูล เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots
ตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง http://www.google.com
Crawler Based Search Engine ได้แก่อะไรบ้าง จะยกตัวอย่างคร่าว ๆ ให้ได้เห็นกันเอาแบบที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักหนะครับก็ได้แก่? Google , Yahoo, MSN, Live, Search, Technorati (สำหรับ blog)?ครับ ส่วนลักษณะการทำงาน และ การเก็บข้อมูงของ Web Crawler หรือ Robot หรือ Spider นั้นแต่ละแห่งจะมีวิธีการเก็บข้อมูล และ การจัดอันดับข้อมูลที่ต่างกันนะครับ เช่น คุณทำการค้นหาคำว่า “Search Engine คืออะไร” ผ่านทั้ง 5 แห่งที่ผมให้ไว้จะได้ผลการค้นหาที่ต่างกันครับ
ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วยหมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมีการสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามหมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เราเลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด (ลดระยะเวลาได้มากในการค้นหา) ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้
ODP Web Directory ชื่อดังของโลก ที่มี Search Engine มากมายใช้เป็นฐานข้อมูล Directory
1.ODP หรือ Dmoz ที่หลายๆ คนรู้จัก ซึ่งเป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Search Engine หลาย ๆ แห่งก็ใช้ข้อมูลจากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ อีกมากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูลประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยเราด้วยครับ (URL : http://www.dmoz.org )
2. สารบัญเว็บไทย SANOOK ก็เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในเมืองไทย (URL : http://webindex.sanook.com )
3. Blog Directory อย่าง BlogFlux Directory ที่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกมากมายตามหมวดหมู่ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถหาได้จาก Make Many แห่งนี้ครับ
ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ
ผลการค้นหาของ Meta Search Engine นี้มักไม่แม่นยำอย่างที่คิด เนื่องจากบางครั้งผู้ให้บริการหรือ ผู้ออกแบบเว็บสามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้มากมายเพื่อให้เกิดการค้นหาและพบเว็บ หรือ บล็อกของตนเอง และ อีกประการหนึ่งก็คือ มีการอาศัย Search Engine Index Server หลาย?ๆ แห่งมาประมวลผลรวมกัน จึงทำให้ผลการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร.
มาถึงตอนนี้หลาย ๆ ท่านที่เคยสงสัยว่า “Search Engine คืออะไร” คงได้หายสงสัยกันไปบ้างแล้วและเริ่มเข้าใจหลักการทำงานของ Search Engine กันมากขึ้น เพื่อจะได้เลือกใช้อย่างถูกต้องและตรงกับความต้องการของเราในการค้นหาข่าวสารข้อมูล สำหรับบทความ “Search Engine คืออะไร” นี้หากขาดตกบกพร่องประการใด หรือ ไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนท่านสามารถติชม หรือ ให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ผ่าน Comments ของบทความชุดนี้เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงและแก้ไขให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุดและ เป็นประโยชน์สำหรับ ผู้ที่ทำการค้นคว้างข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้งาน.

วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ



วัตถุประสงค์ในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย 2แหล่งข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวินาที ดังนั้นในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตควร ดำเนินการดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์การสืบค้น
ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นที่ชัดเจน ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่จะสืบค้นให้แคบลง กำหนดประเภทของเครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Search Engine ให้เหมาะสม กำหนดช่วงเวลาที่ข้อมูลสารสนเทศถูกสร้างขึ้น เช่น ช่วงปีที่ตีพิมพ์ของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้เพื่อให้ผลการสืบค้นมีปริมาณไม่มากเกินไป มีความตรง (Validity) ตามวัตถุประสงค์ และมีความน่าเชื่อถือ (Reliability) มากที่สุดอีกทั้งยังสามารถสืบค้นได้ผลในเวลาอันรวดเร็ว
2. ประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่สามารถสืบค้นได้
ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือมีทั้งที่เป็นข้อความ(Text) ภาพวาด (Painting) ภาพเขียนหรือภาพลายเส้น (Drawing) ภาพไดอะแกรม(Diagram) ภาพถ่าย (Photograph) เสียง(Sound) เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงดนตรี (Midi) ภาพยนตร์ (Movie) ภาพเคลื่อนไหวอะนิเมชัน (Animation) จากเทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และแพร่หลายที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศประเภทข้อความ สำหรับการสืบค้นข้อมูลที่เป็นภาพ (Pattern Recognition) และเสียง ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ใช้เวลานาน และยังไม่มีประสิทธิภาพ จึงยังไม่มีการสืบค้นข้อมูลประเภทอื่นๆ นอกจากประเภทข้อความในการให้บริการการสืบค้นบนอินเทอร์เน็ต
3. การสืบค้นต้องอาศัยอุปกรณ์และความรู้
ก่อนที่ผู้สืบค้นจะสามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตได้ ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจเป็น Modem ในกรณีที่ใช้คู่กับ สายโทรศัพท์ หรือแผ่น LAN Card ในกรณีที่ใช้คู่กับระบบเครือข่ายที่ได้รับการติดตั้งไว้แล้ว ซอฟต์แวร์ การสื่อสาร (Communication Software) เช่น Dial-up Networking ในกรณีใช้ Modem หรือมีการติดตั้ง Network Protocol ที่เหมาะสมกับระบบเครือข่ายที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นติดตั้งอยู่และติดตั้ง Network Adapter ที่เหมาะสมสำหรับ LAN Card นั้นๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิกขององค์การหรือบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider หรือ ISP) เพื่อเป็นช่องทางออกสู่อินเทอร์เน็ต นอกจากอุปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์(ComputerLiteracy) ความรู้ภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อมูลสารสนเทศส่วนใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษ และยังต้องมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย
4. บริการบนอินเทอร์เน็ต
บริการบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถใช้ช่วยในการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศมีมากมายหลายบริการเช่น บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web(WWW) บริการค้นหาข้อมูล Gopher บริการ
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ต
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย 3ค้นหาโปรแกรมใช้งาน Archie นอกจากนี้ อาจใช้บริการสอบถามผ่านทาง E-mail หรือ Chat กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่นๆ หรือสอบถามผ่าน News Group หรือ Group/Thread Discussion ก็ได้ เมื่อค้นได้แหล่งข้อมูลแล้วอาจdownload หรือถ่ายโอนข้อมูลที่สืบค้นได้โดยใช้บริการถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลและโปรแกรม (File Transfer Protocol หรือ FTP) โดยทั่วไปในปัจจุบัน การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้โปรแกรม WebBrowsers เช่น Internet Explorer หรือ Netscape แล้วเรียกใช้บริการ www ประกอบกับการใช้ Search Engine ซึ่งมีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตในการสืบค้น เมื่อสืบค้นได้แล้ว โปรแกรม Web Browsers มักจะมีบริการ Download ได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยโปรแกรมอื่นๆเข้าช่วย
5. เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น
เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่ต้องการสืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ ไม่เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง ตัวอย่าง เว็บไซต์ของต่างประเทศ ได้แก่
http://www.yahoo.com http://www.google.com http://www.infoseek.com
เป็นต้น สำหรับเว็บไซต์ของไทย ได้แก่ http://www.sanook.com http://www.siamguru.com เป็นต้น

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ



นิยามของการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ
ปัจจุบันโลกได้วิวัฒนาการเข้าสู่ “ยุคสารสนเทศ” (Information age) อย่างเต็มตัว การเพิ่มจำนวนของข้อมูลข่าวสารจนเกิดภาวะ “Information explosion” ทำให้มนุษย์ต้องหันมาพึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมาก ดังนั้นเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น ผู้อ่านควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “ข้อมูล” (Data) และ “สารสนเทศ” (Information) รวมถึงความแตกต่างของคำทั้งสองคำดังนี้
ข้อมูล (Data) คือ ข้อความที่อาจจะเป็นตัวเลขหรือข้อความที่ทำให้ผู้อ่านทราบความเป็นไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ข้อมูลนักศึกษาในคณะต่างๆของสถาบันราชภัฎสวนดุสิตที่เข้าศึกษาในสถาบันแห่งนี้ หรือข้อมูลนักท่องเที่ยวในเมืองไทย ดังนั้น ข้อมูล (Data) จึงบอกเกี่ยวกับสภาพการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งปรากฏขึ้น และข้อมูลจะคงสภาพความเป็นข้อมูลนั้นไม่ว่าจะนำไปใช้หรือไม่ได้ใช้ก็ตาม
สารสนเทศ (Information) คือ ข้อความรู้ที่ได้จากการประมวลจากข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น จนได้เป็นข้อความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ สรุปได้ว่า ความแตกต่างระหว่าง “ข้อมูล” (Data) และ “สารสนเทศ” (Information) นั้น “ข้อมูล” จะคงสภาพความเป็นอยู่เสมอ ส่วน “สารสนเทศ” เป็นข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ออกมาเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้นั้นๆ
“ข้อมูล” และ “สารสนเทศ” นับว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะ “สารสนเทศ”นั้น สามารถนำไปใช้ในการบริหารงานด้านต่างๆ มากมาย เช่น
1. ด้านการวางแผน การนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผน เช่น การนำไปใช้เกี่ยวกับการจัดองค์การ บริหารงานบุคคล การผลิตสินค้า การตลาด การวางแผนค่าใช้จ่าย เป็นต้น
2. ด้านการตัดสินใจ การนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจทั้งนี้เพื่อเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา สารสนเทศที่ดีจะมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยสนับสนุนในการตัดสินใจของผู้บริหาร ช่วยให้การตัดสินใจเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพ เช่น การตัดสินใจที่รับบุคลากร
3. ด้านการดำเนินงาน การนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงาน จะช่วยผู้บริหารในการควบคุม และติดตามผลทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามกฎระเบียบ วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การ
จากรายละเอียดข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันอย่างชัดเจนระหว่าง “สารสนเทศ” กับ “สังคมมนุษย์”