วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การใช้งาน google


หลักพื้นฐานในการค้นหาข้อมูลด้วย Google การค้นหาข้อมูลด้วย Google นั้นทำได้ไม่ยาก เพียงแค่พิมพ์หัวข้อค้นหา (ซึ่งเป็นคำหรือวลีที่อธิบายข้อมูลที่คุณต้องการค้นหาได้ดีที่สุด) ในกล่องข้อความ จากนั้นกดปุ่ม ‘Enter’ หรือคลิกที่ปุ่ม ‘Google Search’
จากนั้น Google ก็จะคืนผลลัพธ์ เป็นรายการของหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหัวข้อค้นหาของคุณ โดยหน้าเว็บที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏออกมาเป็นลำดับแรก
เคล็ดลับขั้นต้นที่จะช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้แก่
 การเลือกหัวข้อค้นหา
 การใช้ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่
 การค้นข้อมูลอัตโนมัติด้วยฟังก์ชัน "and"
 การละคำทั่วไป
 การค้นหาคำใกล้เคียง
 การค้นหาทั้งวลี
 หัวข้อค้นหาที่ไม่ต้องการ
 ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย
การเลือกหัวข้อค้นหา
การเลือกหัวข้อค้นหาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณค้นพบข้อมูลที่ต้องการ
เริ่มต้นด้วยตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าคุณอยากทราบข้อมูลทั่วไปของรัฐฮาวาย ลองใช้หัวข้อค้นหา Hawaii
แต่ตามปกติแล้วการใช้หัวข้อค้นหามากกว่าหนึ่งคำจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ถ้าคุณมีแผนอยากไปพักร้อนที่ฮาวาย หัวข้อค้นหาvacation Hawaii ย่อมให้ผลลัพธ์ดีกว่าการใช้หัวข้อค้นหาเพียง vacation หรือ Hawaii อย่างใดอย่างหนึ่ง และ vacation Hawaii golf อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีก(หรือแย่ลงก็ได้ อันนี้แล้วแต่)
คุณอาจจะลองถามตัวเองว่าหัวข้อค้นหาที่คุณใช้นั้น ชัดเจนเพียงพอหรือไม่ การค้นหาโดยใช้หัวข้อค้นหา luxury hotels Maui ย่อมดีกว่าหัวข้อ tropical island hotels แต่จงเลือกหัวข้อค้นหาอย่างระมัดระวัง เพราะ Google จะค้นหาโดยยึดสิ่งที่คุณพิมพ์เป็นหลัก ดังนั้นหัวข้อ luxury hotels Maui น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า really nice places to spend the night in Maui
การใช้ตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่
การค้นหาโดยใช้ Google นั้นจะถือว่าตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่มีค่าเท่ากัน ดังนั้น การค้นหาโดยใช้หัวข้อค้นหา george washington, George Washington และ gEoRgE wAsHiNgToN จะให้ผลลัพธ์เหมือนกัน
การค้นข้อมูลอัตโนมัติด้วยฟังก์ชัน and ตามปกติแล้ว Google จะคืนผลลัพธ์เป็นหน้าเว็บที่มีหัวข้อค้นหาทุกคำเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องพิมพ์คำว่า “and” ระหว่างหัวข้อค้นหา อย่างไรก็ตาม ลำดับการพิมพ์หัวข้อค้นหามีผลต่อข้อมูลผลลัพธ์ ถ้าต้องการให้การค้นหาจำกัดแคบลงไปอีก ให้พิมพ์หัวข้อค้นหาเพิ่มลงไป เช่น หากต้องการหาที่พักร้อนในฮาวาย พิมพ์ vacation hawaii
การละคำทั่วไป
Google จะละคำทั่วไป เช่นคำว่า "where" และ "how" ออกจากการค้นหา เช่นเดียวกับตัวเลขตัวเดียวและตัวอักษรตัวเดียว เนื่องจากการใช้คำดังกล่าวด้วยอาจทำให้การค้นข้อมูลทำได้ช้าลง และไม่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น
ในกรณีที่ต้องการรวมคำดังกล่าวไว้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ คุณสามารถพิมพ์เครื่องหมาย + ไว้หน้าคำนั้น (อย่าลืมเว้นวรรคหน้าเครื่องหมาย +)
อีกวิธีหนึ่งคือทำการค้นหาแบบเป็นวลี โดยใส่เครื่องหมายคำพูด (“...”) ล้อมรอบหัวข้อค้นหาสองคำหรือมากกว่านั้น (เช่น "where are you")
การค้นหาคำใกล้เคียง
ในปัจจุบัน Google มีเทคโนโลยีการหารากศัพท์ โดย Google ไม่เพียงแต่ค้นหาหัวข้อที่คุณพิมพ์ลงไปเท่านั้น แต่ยังค้นหาคำใกล้เคียงกันอีกด้วย เช่นการค้นจากคำว่า pet lemur dietary needs จะทำให้ Google ค้นหาคำว่า pet lemur diet needs และอื่นๆ ที่คล้ายกันอีกด้วย
การค้นหาทั้งวลี
ในการค้นหาทั้งวลี คุณเพียงแต่ใส่เครื่องหมายคำพูด (“...”) ล้อมรอบวลีนั้น
การค้นหาด้วยวลีจะได้ผลมากกับชื่อเฉพาะ เช่น “George Washington”, เนื้อเพลง เช่น “the long and winding road” หรือคำคมเช่น “This was their finest hour”

หัวข้อค้นหาที่ไม่ต้องการ
ถ้าหัวข้อค้นหาของคุณมีหลายความหมาย (เช่น bass อาจมีความหมายเกี่ยวข้องกับปลาหรือดนตรีก็ได้) คุณสามารถระบุหัวข้อค้นหาโดยการพิมพ์เครื่องหมายลบ (-) หน้าความหมายที่ไม่ต้องการ (อย่าลืมใส่ช่องว่างหน้าเครื่องหมายลบ) เช่น ค้นหาหน้าเว็บที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี
และสุดท้าย "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย"

หลังจากกรอกหัวข้อค้นหาเรียบร้อยแล้ว คุณอาจลองใช้ปุ่ม "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย" (I’m Feeling Lucky) ซึ่งจะพาคุณไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อค้นหาที่ชัดเจนที่สุดทันทีโดยไม่แสดงหน้าจอผลลัพธ์
ตัวอย่าง ถ้าคุณต้องการค้นหาโฮมเพจของ Stanford University เพียงพิมพ์คำว่า Stanford จากนั้นคลิก "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย" Google จะพาคุณไปยังเว็บ "www.stanford.edu" ทันที

ไม่มีความคิดเห็น: